วัฒนธรรมกัมพูชา ประเทศกัมพูชาเป็นดินแดนที่คงไว้ซึ่งอารยธรรมมากมายในดินแดนแห่งนี้อย่างยิ่งใหญ่ ของนครวัดนครธม ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมกว่าร้อยละ 95 ของประชากรนับถือศาสนาพุทธ แต่ประชากรก็ยังเชื่อตามความเชื่อของชาวเขมรโบราณที่เชื่อในพลังอาถรรพ์ การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ (Animism) เมื่อชาวบ้านมีปฏิสัมพันธ์กับคนต่างถิ่นอาจได้รับอิทธิพลจากความเชื่ออื่น ๆ โดยไม่ต้องละทิ้งความเชื่อดั้งเดิม ซึ่งต่างเวลา ต่างสถานที่ มีความเชื่อทางศาสนาและอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน ภูมิภาคที่สำคัญหลายแห่ง ได้แก่ ศาสนาพุทธ อิสลาม ขงจื๊อ และลัทธิเต๋า ดังนั้นกัมพูชาจึงเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมเช่นเดียวกับสังคมไทย ศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลักที่ทำให้ประเพณีต่างๆ ของกัมพูชามีความคล้ายคลึงกับประเทศไทยมาก ผู้สูงอายุจะเข้าวัดฟังเทศน์เมื่อมีงานบุญตามประเพณี เยาวชนและเด็กจะร่วมมือกันจัดงานอย่างสม่ำเสมอ วันหยุดราชการ
เนื่องจากกัมพูชาอยู่ภายใต้อิทธิพลของสยามและเวียดนาม เพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้นที่ชาวกัมพูชาสามารถคงความเป็นอิสระจากอำนาจของทั้งสองประเทศนี้ได้ แต่ในที่สุดก็กลับมาอยู่ภายใต้อิทธิพลของพวกเขา จนกระทั่งกลางศตวรรษที่ 19 กัมพูชาเผชิญกับภัยคุกคามจากลัทธิล่าอาณานิคมของฝรั่งเศส และยึดครองเวียดนาม ลาว และกัมพูชารวมกันเป็นดินแดนของตนภายใต้ชื่อ French Indochina ฝรั่งเศสเริ่มแผ่อิทธิพลมายังเวียดนามก่อน จากนั้นจึงค่อยขยายไปยังกัมพูชาโดยใช้ช่องโหว่ที่กัมพูชากลายเป็นระบอบกษัตริย์สยามในรัชสมัยของสมเด็จพระหริรักษ์รามาธิบดีเพื่อสนับสนุนกัมพูชาให้เป็นอิสระจากอำนาจสยาม จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2403 เจ้านโรดมพรหมบริรักษ์ ในปี พ.ศ. 2406 รัชทายาทแห่งราชบัลลังก์ได้ทำข้อตกลงกับฝรั่งเศสโดยมอบกัมพูชาเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าฝรั่งเศสต้องทำสัญญาเป็นรัฐในอารักขา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทำสัญญากับเจ้านโรดมอีกครั้งหนึ่งเพื่อเรียกร้องสิทธิในการเป็นรัฐในอารักขาของสยามด้วย ทำให้ฝรั่งเศสไม่พอใจและเริ่มกดดันสยามให้ยกเลิกข้อตกลงดังกล่าว จนกระทั่ง พ.ศ. 2410 เมื่อสยามยอมยกเลิกข้อตกลงดังกล่าว แต่ยังคงยืนยันสิทธิ์เหนือ 3 แคว้น คือ เสียมราฐ พระตะบอง และสีโสภณ ว่ายังคงเป็นของสยาม นับแต่นั้นมา ฝรั่งเศสจึงเริ่มขยายอำนาจเต็มที่ในกัมพูชา เริ่มตั้งแต่การจัดระบบต่าง ๆ จนถึงการปฏิรูปการปกครองของกัมพูชาตามที่ฝรั่งเศสกำหนด นำไปสู่การปฏิรูประบบภาษีอากรของรัฐใหม่มากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อย จึงมีการต่อต้านประเทศที่ให้ฝรั่งเศสกดหัวจนการต่อต้านของชาวฝรั่งเศสลุกลาม แต่ฝรั่งเศสกล่าวหาว่าสมเด็จพระนโรดมอยู่เบื้องหลังการต่อต้านฝรั่งเศส ทำให้ทางการต้องจัดการกับพวกเขาอย่างเด็ดขาด ส่งผลให้ผู้ที่ต่อต้านและก่อการกบฏหนีมายังสยามเป็นจำนวนมาก ต่อมาในปี พ.ศ. 2447 พระบาทสมเด็จพระนโรดมเสด็จสวรรคต เจ้าชายสุวัจน์ พระอนุชาของ พระนโรดม ได้รับการสนับสนุนจากฝรั่งเศสให้ขึ้นครองราชย์ ในปีนั้นเขาได้ลงนามในข้อตกลงที่อนุญาตให้การบริหารประเทศอยู่ในมือของฝรั่งเศส ทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสสามารถควบคุมกัมพูชาได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นฝรั่งเศสจึงประกาศรวมกัมพูชาไว้ในอินโดจีนของฝรั่งเศสตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา วัฒนธรรมกัมพูชา
วัฒนธรรมกัมพูชา วัฒนธรรมการกิน
เนื่องจากตั้งอยู่ในสภาพอากาศและสภาพแวดล้อมแบบเดียวกัน กัมพูชาจึงมีธัญพืชและพืชอาหารที่คล้ายกันกับประเทศไทย แต่ในขณะเดียวกันวัฒนธรรมอาหารก็ได้รับอิทธิพลมาจากฝรั่งเศส อินเดีย จีน และเวียดนาม วัตถุดิบทำอาหารกัมพูชาส่วนใหญ่หาได้ในท้องถิ่น รวมทั้งผักพื้นบ้าน เช่น ใบโหระพา มะกรูด และเนื้อสัตว์ เช่น ปลา ปลาน้ำจืดและปลาทะเลเป็นวัตถุดิบที่สำคัญและเป็นแหล่งโปรตีนหลักของชาวกัมพูชา และเนื่องจากกัมพูชามีแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยปลา ในโตนเลสาบซึ่งน้ำจะขยายมากและจะมีปลามากในฤดูฝน แต่มาแห้งไปในเดือนพฤศจิกายน ทำให้ชาวกัมพูชาได้เรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับฤดูกาลที่ขาดแคลนด้วยวิธีการถนอมอาหาร เช่น การทำปลาเค็ม , ปลาแห้ง , ปลา , ส่วนปลาร้า ก็เรียก. โพฮก. หมู เนื้อ เป็ด ไก่ ถึงจะกินได้แต่ก็แพงกว่าอาหารปลา หมูมักจะใช้ทำไส้กรอกเขมรที่เรียกว่า Twako นอกจากส่วนผสมหลักเช่นปลาแล้ว กัมพูชายังมีผักและผลไม้อีกหลากหลายชนิด ดังนั้นจึงมีผักประเภทต่างๆ ให้กินในจานเป็นส่วนผสมและเป็นเครื่องเคียง มังคุดและทุเรียนเป็นผลไม้ยอดนิยมในกัมพูชา ข้าวเป็นอาหารหลักของกัมพูชา นอกจากนี้ยังมีบะหมี่ที่เรียกว่า Kui Teo และขนมปังฝรั่งเศสที่เรียกว่า Nom Pan ข้าวเหนียวปรุงเป็นของหวานกินกับทุเรียน และยังมีขนมจีนชื่อหนมปังเจ้า
มรดกทางวัฒนธรรมที่กัมพูชารับมาจากอินเดีย คือ การใช้เครื่องเทศและการทำแกง เช่น แกงเผ็ดใส่กะทิ เรียกว่า แกง รับประทานกับข้าวหรือขนมปังแผ่น นอกจากนี้ยังใช้ขนมปังกินปลากระป๋องและไข่เป็นอาหารเช้า หรือใช้ทำแซนวิชกับแฮมหรือเนื้อย่างที่ได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศสในยุคอาณานิคม อาหารกัมพูชามักปรุงรสด้วยน้ำเกรวี่ หรือเครื่องเทศป่น เน้นใช้พริกไทย เพื่อให้รสเผ็ดกว่าพริก ปรุงรสให้นิ่มด้วยกะปิและน้ำปลา แต่ยังมีตำรับอาหารของขุนนางในวังที่เรียกว่า อาหารชาววัง ซึ่งเน้นการใช้เครื่องเทศและสมุนไพรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นขิง ข่า ตะไคร้ มะกรูด มะนาว หอมแดง กระเทียม และอื่นๆ เพื่อให้ได้อาหารที่มีกลิ่นหอมชวนรับประทานและรสชาตินุ่มนวลโดยได้รับอิทธิพลมาจากอาหารตะวันออก โดยเฉพาะจีน ที่เป็นต้นกำเนิดของอาหารประเภทก๋วยเตี๋ยว หรือเมนูผัดต่างๆ กุยเตียวหรือบะหมี่ปรุงพิเศษสไตล์กัมพูชา เช่น หมี่กะตัง บะหมี่ซอสสไตล์กวางตุ้ง ใส่ซีอิ๊วขาวและกระเทียม กินกับผักดองและไข่ บายซ่าคือข้าวผัดกับกุนเชียงหรือเนื้อสัตว์ กระเทียมและซีอิ๊วขาว อาหารเวียดนามยังมีอิทธิพลต่ออาหารกัมพูชา เช่น แหนม อาหารคล้ายปอเปี๊ยะสด บั๋นหอย ก๋วยเตี๋ยวนึ่งใบสะระแหน่ ถั่วลิสง ผักดอง ไข่เจียวฝาน รับประทานกับน้ำปลา เป็นต้น กาแฟเขมรซึ่งเป็น ส่วนใหญ่ปรุงด้วยนมข้นหวาน แต่ปัจจุบันด้วยอิทธิพลจากประเทศไทยทำให้มีการใช้ครีมเทียมกาแฟมากขึ้น อิทธิพลของอาหารต่างชาติในกัมพูชาเห็นได้ชัดจากการขยายตัวของร้านอาหาร และแพร่หลายในรูปแบบของพ่อค้าแม่ค้า วัฒนธรรมกัมพูชา